tag:blogger.com,1999:blog-88248772495652883862024-02-18T22:29:57.766-08:00จุฑามาศ เถโรจุฑามาศhttp://www.blogger.com/profile/04204990388448627660noreply@blogger.comBlogger4125tag:blogger.com,1999:blog-8824877249565288386.post-44279891839482182432009-09-16T23:01:00.000-07:002009-09-16T23:21:45.719-07:00ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์<div align="left"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiIWT-IcBoPwoEFG3cV7gNL4-DBaSAA3AMPgdgyhooy1ZsdkwT1eMigq-cQF3xQ76_zlSn0zlvDTHwOb-cYy3AauZ4PfoSL9VM1737bdPuJ9L0BASL37Ard0aZP5dU56Pku_t3zcHxA2a59/s1600-h/22.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5382316551454454482" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 216px; CURSOR: hand; HEIGHT: 231px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiIWT-IcBoPwoEFG3cV7gNL4-DBaSAA3AMPgdgyhooy1ZsdkwT1eMigq-cQF3xQ76_zlSn0zlvDTHwOb-cYy3AauZ4PfoSL9VM1737bdPuJ9L0BASL37Ard0aZP5dU56Pku_t3zcHxA2a59/s320/22.jpg" border="0" /></a><br /> <br /><span style="font-size:130%;"><strong><em>Central Processing Unit (CPU) หน่วยประมวลผลกลาง (ซีพียู)<br />หน่วยเก็บที่อยู่ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นหน่วยสำคัญที่สุดเปรียบได้กับสมองของคอมพิวเตอร์ มีหน้าที่ควบคุมการทำงานของหน่วยต่างๆ ให้ทำงานประสานสอดคล้องกัน หน่วยประมวลผลกลางแบ่งออกได้เป็น 3 ส่วนโดยประกอบรวมกันอยู่บนชิปเล็กๆ เพียงชิ้นเดียว เรียกว่า ไมโครโพรเซสเซอร์ (microprocessor) ส่วนต่างๆ เหล่านี้ได้แก่<br />1. หน่วยเรจิสเตอร์ (Register) ทำหน้าที่เก็บข้อมูลที่ส่งจากหน่วยความจำหลักและข้อมูลที่จะนำไปใช้ประมวลผล<br />2. หน่วยคำนวณและตรรกะ (Arithmetic and Logical Unit : ALU) ทำหน้าที่ประมวลผลด้วยวิธีการทางคณิตศาสตร์ และตรรกะ<br />3. หน่วยควบคุม (Control Unit) ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานทุกส่วนของเครื่องคอมพิวเตอร์ ได้แก่ ส่วนรับข้อมูล ส่วนประมวลผลกลาง และส่วนแสดงผล ให้ทำงานสอดคล้องกัน ซ็อกเก็ตซีพียู (CPU Socket)<br />คือ อุปกรณ์สำหรับติดตั้ง CPU ซึ่งแตกต่างกันไปตามรุ่นหรือยี่ห้อ สำหรับรุ่นที่นิยมใช้ในปัจจุบันมี 5 แบบ<br />1. Socket 478<br />2. LGA 775<br />3. Socket A (462)<br />4. Socket 754<br />5. Socket 939 ชิปเซต (Chip Set)<br />คือ ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ทั้งหมดที่อยู่<br />- North Bridge Chip Set ควบคุมการรับ/ส่งข้อมูลของซีพียู และแรม<br />- South Bridge Chip Set ควบคุมสล็อต การ์ดอื่น และอุปกรณ์ต่อพ่วงทั้งหมด<br />เมนบอร์ด (mainboard) หรือ มาเธอร์บอร์ด (motherboard)<br />คือ แผงวงจรหลักของระบบคอมพิวเตอร์ หรือ แผงวงจรหลักที่ประกอบไปด้วยชิ้นส่วนทางอิเล็คทรอนิกส์ต่างๆ ทำหน้าที่เป็นกลางทำให้อุปกรณ์ต่างๆ ทำงานร่วมกันได้ และเป็นศูนย์กลางในการต่อเชื่อมอุปกรณ์อื่นไม่ว่าจะเป็น CPU , RAM , HDD, CD-ROM , FDD VGA CARD เป็นต้น เมนบอร์ดแต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อจะสนับสนุนอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ ไม่เหมือนกัน<br />สำหรับเมนบอร์ดของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล โดยทั่วไปจะประกอบด้วย หน่วยประมวลผลกลาง, ไบออส และหน่วยความจำหลัก พร้อมช่องให้สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริมอื่นๆ ได้<br />ในบางประเทศ โดยเฉพาะในโฆษณาขายคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล นิยมใช้ศัพท์แสลงเรียกเมนบอร์ดว่า mobo (โมโบ) โดยเป็นคำย่อจาก motherboard<br />หน่วยความจำ (Memory)<br />Read-Only Memory (ROM) หน่วยความจำอ่านอย่างเดียว (รอม)<br />หน่วยความจำหลักของคอมพิวเตอร์สำหรับเก็บคำสั่งไว้อย่างถาวรและยังคงมีคำสั่งเหล่านี้เก็บอยู่ ถึงแม้ไฟจะดับหรือปิดเครื่องแล้วก็ตาม รอมจะบรรจุโปรแกรมระบบที่สำคัญไว้โดยที่เราหรือคอมพิวเตอร์เองก็ไม่สามารถลบทิ้งได้ทั้งนี้เพราะเป็นชิปที่ผู้ผลิตได้บรรจุคำสั่งไว้อย่างถาวร เนื่องจากหน่วยความจำภายในของคอมพิวเตอร์จะว่างเปล่า เมื่อมีการเปิดเครื่อง จึงทำให้คอมพิวเตอร์ไม่สามารถทำงานใดๆ ได้ถ้าไม่ให้คำสั่งในการเริ่มต้น ซึ่งคำสั่งเหล่านี้จะถูกเก็บอยู่ในรอมนั่นเอง<br />Random-Access Memory (RAM) หน่วยความจำเข้าถึงโดยสุ่ม (แรม)<br />หน่วยความจำเข้าถึงโดยสุ่ม หรือที่เรียกกันโดยย่อว่า แรม เป็นหน่วยความจำหลักของคอมพิวเตอร์ที่ใช้เก็บคำสั่งและข้อมูล เพื่อสามารถเข้าถึงโดยตรงในการควบคุมการทำงานของหน่วยประมวลผลกลาง โดยผ่านทางบัสข้อมูลภายนอกความเร็วสูง ชื่อแรมมักจะเรียกว่าหน่วยความจำอ่าน/บันทึกเพื่อเป็นการแบ่งแยกจากหน่วยความจำอ่านอย่างเดียวหรือรอม (ROM) ซึ่งเป็นส่วนประกอบอีกส่วนหนึ่งของหน่วยเก็บหลัก (primary storage) ของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล<br />ในแรมนี้เองที่หน่วยประมวลผลกลางสามารถบันทึกและอ่านข้อมูล โปรแกรมส่วนมากจะจัดส่วนของแรมไว้ต่างหากเพื่อเป็นเนื้อที่ทำงานชั่วคราวสำหรับข้อมูลของเรา เพื่อที่เราจะสามารถบันทึกทับใหม่ได้เท่าที่ต้องการจนกว่าข้อมูลนั้นจะถูกนำไปพิมพ์หรือเก็บในหน่วยเก็บรอง (secondary storage) เช่น จานบันทึกแบบแข็งหรือแผ่นบันทึก ข้อมูลต่างๆ ที่อยู่ในแรมจะหายไปได้เมื่อมีการปิดเครื่องหรือเมื่อกระแสไฟดับ ดังนั้นเราจึงต้องเก็บบันทึกงานที่ทำอยู่ตลอดเวลาและก่อนที่จะปิดเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อป้องกันการสูญหายของข้อมูล<br />ฮาร์ดดิคส์ (Harddisk)<br />ฮาร์ดดิคส์ เรียกอีกอย่างว่า Fix Disk เป็นสื่อบันทึกข้อมูลประเภทหนึ่ง (Storage Device) ปัจจุบันเป็นอุปกรณ์ ที่จำเป็น และ เป็นอุปกรณ์พื้นฐานที่ติดตั้งมาพร้อมกับเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง ใช้ในการติดตั้งระบบปฏิบัติการลงโปรแกรม ประยุกต์และ เก็บข้อมูลของผู้ใช้ เนื่องจากโปรแกรม หรือข้อมูลในปัจจุบันมีขนาดใหญ่ ไม่สามารถที่จะเก็บ ลงในแผ่นดิสเก็ต ได้หมด ฮาร์ดดิสค์ จะบรรจุอยู่ในกล่องโลหะปิดสนิท เพื่อป้องสิ่งสกปรกหลุดเข้าไปภายใน ซึ่งถ้าต้อง การเปิดออกจะต้อง เปิดในห้องเรียก clean room ที่มีการกรองฝุ่นละออกจากอากาศเข้าไปในห้อง ออกแล้ว ฮาร์ดดิสค์ ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน เป็นแบบติดภายในเครื่องไม่ เคลื่อนย้ายเหมือนแผ่นดิสเก็ต ดิสค์ประเภทนี้อาจเรียกว่า ดิสค์วินเชสเตอร ์(Winchester Disk)<br />ฟลอปปีดิสก์ (floppy disk)<br />แผ่นดิสก์แบบอ่อน หรือ ฟลอปปีดิสก์ (floppy disk) หรือที่นิยมเรียกว่า แผ่นดิสก์ หรือ แผ่นดิสเก็ตต์ เป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูล ที่อาศัยหลักการเหนี่ยวนำของสนามแม่เหล็ก. โดยทั่วไปมีลักษณะบางกลม, เก็บอยู่ในตัวป้องกันพลาสติกรูปสี่เหลี่ยม. คอมพิวเตอร์สามารถอ่านและเขียนข้อมูลลงบนฟลอปปีดิสก์ ผ่านทางช่องฟลอปปีดิสก์ (ฟลอปปีดิสก์ไดร์ฟ).<br />การ์ดแสดงผล (Display Card)<br />(อังกฤษ: graphic adaptor หรือ graphics card, video card, video board, video display board, display adapter, video adapter แล้วแต่จะเรียก) เป็นอุปกรณ์ที่รับข้อมูลเกี่ยวกับการแสดงผลจากหน่วยความจำ มาคำนวณและประมวลผล จากนั้นจึงส่งข้อมูลในรูปแบบสัญญาณเพื่อนำไปแสดงผลยังอุปกรณ์แสดงผล (มักเป็นจอภาพ)<br />การ์ดแสดงผลสมัยเก่าทำหน้าที่แปลงข้อมูลดิจิทัลเป็นสัญญาณเท่านั้น แต่จากกระแสของการ์ดเร่งความเร็วสามมิติ ในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษที่ 90 โดยบริษัท 3dfx และ nVidia ทำให้เทคโนโลยีด้านสามมิติพัฒนาไปมาก ปัจจุบันการ์ดแสดงผลสมัยใหม่ได้รวมความสามารถในการแสดงผลภาพสามมิติมาไว้เป็นมาตรฐาน และได้เรียกชื่อใหม่ว่า GPU (Graphic Processing Unit) โดยสามารถลดงานด้านการแสดงผลของของหน่วยประมวลผลกลาง (CPU) ได้มาก<br />ในปัจจุบันการ์ดแสดงผลจำนวนมากไม่อยู่ในรูปของการ์ด แต่จะอยู่เป็นส่วนหนึ่งของแผงเมนบอร์ดซึ่งทำหน้าที่เดียวกัน วงจรแสดงผลเหล่านี้มักมีความสามารถด้านสามมิติค่อนข้างจำกัด แต่ก็เหมาะสมกับงานในสำนักงาน เล่นเว็บ อ่านอีเมล เป็นต้น สำหรับผู้ที่ต้องการความสามารถด้านสามมิติสูง ๆ เช่น ใช้เพื่อเล่นเกมคอมพิวเตอร์ ฮาร์ดแวร์ยังอยู่ในรูปของการ์ดที่ต้องเสียบเพิ่มเพื่อให้ได้ภาพเคลื่อนไหวที่เป็นสามมิติที่สมจริง ในทางกลับกัน การใช้งานบางประเภท เช่น งานทางการแพทย์ กลับต้องการความสามารถการแสดงภาพสองมิติที่สูงแทนที่จะเป็นแบบสามมิติ<br />เดิมการ์ดแสดงผลแบบสามมิติอยู่แยกกันคนละการ์ดกับการ์ดแบบสองมิติและต้องมีการต่อสายเชื่อมถึงกัน เช่น การ์ด Voodoo ของบริษัท 3dfx ซึ่งปัจจุบันไม่มีแล้ว ปัจจุบันการ์ดแสดงผลสามมิติมีความสามารถเกี่ยวกับการแสดงผลสองมิติในตัว<br />Compact Disc (CD) แผ่นซีดี (ซีดี)<br />แผ่นพลาสติกกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 4.75 นิ้ว (12 เซ็นติเมตร) ที่บันทึกและอ่านข้อมูลด้วยแสงเลเซอร์ บันทึกข้อมูลด้วยสัญญาณดิจิทัลในรูปแบบซีแอลวี (CLV) แผ่นซีดีเป็นมาตรฐานที่พัฒนาร่วมกันโดยบริษัทโซนี และบริษัทฟิลิปส์ มีการประกาศใช้เมื่อปี ค.ศ. 1980 และจัดอยู่ในมาตรฐานเรดบุ๊ก (Red Book) ซีดี (CD)<br />ซีดีเสียง หรือ ซีดีเพลง หรือ ออดิโอซีดี (audio CD) เก็บสัญญาณเสียงในรูปแบบที่เป็นไปตามมาตรฐานเรดบุ๊ค (red book) ซีดีเสียงประกอบด้วยแทร็คสเตอริโอหลายแทร็ค ที่เก็บโดยการเข้ารหัสแบบ PCM ขนาด 16 บิตด้วยอัตราการสุ่มตัวอย่าง 44.1 kHz<br />คอมแพคดิสค์มาตรฐานมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 120 มิลลิเมตร แต่มีรุ่นขนาด 80 มิลลิเมตรอยู่ในรูปการ์ดขนาดเท่านามบัตรหรือเป็นรูปวงกลม แผ่นดิสค์ขนาด 120 มิลลิเมตร สามารถบันทึกเสียงได้ 74 นาที แต่มีรุ่นที่สามารถบันทึก 80 หรือ 90 นาทีด้วย แผ่นดิสค์ขนาด 80 มิลลิเมตร ใช้เป็นแผ่นซีดีซิงเกิล หรือใช้เป็นนามบัตรประชาสัมพันธ์ เก็บเสียงใช้เพียงแค่ 20 นาที ดีวีดี (DVD; Digital Video Disc)<br />เป็นแผ่นข้อมูลแบบบันทึกด้วยแสง (optical disc) ที่ใช้บันทึกข้อมูลต่างๆ เช่น ภาพยนตร์ โดยให้คุณภาพของภาพและเสียงที่ดี ดีวีดีถูกพัฒนามาใช้แทนซีดีรอม โดยใช้แผ่นที่มีขนาดเดียวกัน (เส้นผ่าศูนย์กลาง 12 เซนติเมตร) แต่ว่าใช้การบันทึกข้อมูลที่แตกต่างกัน และความละเอียดในการบันทึกที่หนาแน่นกว่า<br />เดิมทีดีวีดีมาจากชื่อย่อว่า digital video disc แต่ในภายหลังผู้ผลิตบางรายเห็นว่าควรเปลี่ยนชื่อเป็น digital versatile disc ปัจจุบันตามคำนิยามอย่างเป็นทางการแล้ว DVD ไม่ได้ย่อมาจากชื่อเต็มแต่อย่างใด<br />เครื่องเขียนแผ่นดีวีดี (DVD Writer) คือ เครื่องสำหรับการบันทึกข้อมูลลงบนแผ่นดีวีดี<br />การ์ดการ์ด (Sound Card) [</em></strong></span><a href="http://project.cs.kku.ac.th/2545/project/g16/member/soundcard.php"><span style="font-size:130%;"><strong><em>reference</em></strong></span></a><span style="font-size:130%;"><strong><em>]<br />คือ อุปกรณ์ที่ใช้สร้างเสียง ซึ่งถือเป็นอุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้ในเครื่อง คอมพิวเตอร์ ที่ต้องการทำเป็น Home Theater Sound Card ในปัจจุบันจะสนับสนุนการต่อลำโพง 4 ตัว Card บางตัวยังมีตัวถอด รหัส Dolby Digital ซึ่งเป็นมาตรฐานของระบบเสียงรอบทิศทางที่ ใช้ในภาพยนตร์ และยังสนับสนุนการสร้างเสียง 3 มิติ เพื่อสร้างความ สมจริงในการเล่น เกมส์อีกด้วย เมื่อก่อน Sound Card จะติดตั้งบน ISA Slot แต่ในปัจจุบันได้เปลี่ยนมาใช้ PCI Slot ซึ่งทำให้ทำงาน ได้เร็วขึ้น และใช้การทำงานของ CPU น้อยลง เพิ่ม Function การทำงานได้มากขึ้น อีกทั้งยังมีราคาที่ถูกลงมากด้วย<br />เสียงเป็นส่วนสำคัญของระบบมัลติมีเดียไม่น้อยกว่าภาพ ดังนั้นการ์ดเสียง จึงเป็นอุปกรณ์จำเป็นที่สำคัญของระบบคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย การ์ดเสียง ได้รับการพัฒนาคุณภาพอย่างรวดเร็วเพื่อ ให้ได้ประสิทธิภาพของเสียงและความผิดเพี้ยนน้อยที่สุด ตลอดจนระบบเสียง 3 มิต ิในปัจจุบัน<br />จอภาพ (Monitor)<br />จอภาพจะเป็นทั้งหน่วยรับข้อมูล(Input) และ หน่วยแสดงข้อมูล (Output) ซึ่งจะแสดง ทั้งตัวอักษรและภาพ โดยจะรับสัญญาณมาจากแผงวงจร Video Graphic Array (VGA Card)<br />เคส (Case)<br />คือ โครงหรือกล่องสำหรับประกอบอุปกรณ์ต่าง ๆ ของคอมพิวเตอร์ไว้ภายใน การเรียกชื่อ และขนาด ของเคสจะแตกต่างกันออกไป ซึ่งในปัจจุบันมีหลายแบบที่นิยมกัน แล้วแต่ผู้ซื้อจะเลือกซื้อตามความเหมาะสม ของงาน และสถานที่นั้น พาวเวอร์ซัพพลาย (Power Supply) เป็นอุปกรณ์ที่จำหน่ายติดมากับเคส พาวเวอร์ซัพพลาย จะแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ แบบ AT และ ATX ซึ่งทั้งสองชนิดนี้ก็ขึ้นอยู่กับ ตัวเคส และ เมนบอร์ดที่ผู้ซื้อต้องการใช้ จะมีวิธีการเลือก หรือ การดูแลรักษา การแก้ไขเป็นอย่างไร ดูได้จากในบทต่อไป<br />ตัวถัง คือรูปร่างของคอมพิวเตอร์ซึ่งมีรูปร่างเป็นกล่องสี่เหลี่ยมใช้สำหรับเก็บรวบรวมชิ้นส่วน ที่เป็นส่วนประกอบของ เครื่องคอมพิวเตอร์ไว้ภายในกล่อง ตัวถังจะประกอบด้วย สวิทซ์ต่าง ๆ ได้แก่ สวิทซ์ ปิด/เปิด ปุ่ม Reset ช่อง สำหรับติดตั้ง Floppy Disk เครื่องเล่น CD-ROM ซึ่งด้านหลังจะมีช่องสำหรับเสียบอุปกรณ์พ่วงต่าง ๆ<br />เมาส์ (Mouse)<br />เมาส์แบ่งได้เป็นสองแบบคือ แบบทางกลและแบบใช้เแสง แบบทางกลเป็นแบบที่ใช้ลูกกลิ้งกลม ที่มีน้ำหนักและแรงเสียดทานพอดี เมื่อเลื่อนเมาส์ไปในทิศทางใดจะทำให้ลูกกลิ้งเคลื่อนไปมาในทิศทางนั้น ลูกกลิ้งจะทำให้กลไกซึ่งทำหน้าที่ปรับแกนหมุนในแกน X และแกน Y แล้วส่งผลไปเลื่อนตำแหน่งตัวชี้บนจอภาพ เมาส์แบบทางกลนี้มีโครงสร้างที่ออกแบบได้ง่าย มีรูปร่างพอเหมาะมือ ส่วนลูกกลิ้งจะต้องออกแบบให้กลิ้งได้ง่ายและไม่ลื่นไถล สามารถควบคุมความเร็วได้อย่างต่อเนื่องสัมพันธ์ระหว่างทางเดินของเมาส์และจอภาพ เมาส์แบบใช้แสงอาศัยหลักการส่งแสงจากเมาส์ลงไปบนแผ่นรองเมาส์ (mouse pad)<br />คีย์บอร์ด หรือแป้นพิมพ์ (Keyboard)<br />เป็นอุปกรณ์รับเข้าพื้นฐานที่ต้องมีในคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะรับข้อมูลจากการกดแป้นแล้วทำการเปลี่ยนเป็นรหัสเพื่อส่งต่อไปให้กับคอมพิวเตอร์ แป้นพิมพ์ที่ใช้ในการป้อนข้อมูลจะมีจำนวนตั้งแต่ 50 แป้นขึ้นไป แผงแป้นอักขระส่วนใหญ่มีแป้นตัวเลขแยกไว้ต่างหาก เพื่อทำให้การป้อนข้อมูลตัวเลขทำได้ง่ายและสะดวกขึ้น<br />การวางตำแหน่งแป้นอักขระ จะเป็นไปตามมาตรฐานของระบบพิมพ์สัมผัสของเครื่องพิมพ์ดีด ที่มีการใช้แป้นยกแคร่ (shift) เพื่อทำให้สามารถใช้พิมพ์ได้ทั้งตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่และตัวพิมพ์เล็ก ซึ่งระบบรับรหัสตัวอักษรภาษาอังกฤษที่ใช้ในทางคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่จะเป็นรหัส 7 หรือ 8 บิต กล่าวคือ เมื่อมีการกดแป้นพิมพ์ แผงแป้นอักขระจะส่งรหัสขนาด 7 หรือ 8 บิต นี้เข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์<br />คียบอร์ด สำหรับคอมพิวเตอร์ เป็นอุปกรณ์ที่ถอดแบบมาจาก แป้นพิมพ์ ของเครื่องพิมพ์ดีด คีย์บอร์ดถูกออกแบบมาเพื่อใช้สำหรับรับข้อมูล เป็นตัวอักษรเพื่อส่งให้คอมพิวเตอร์ประมวลผล และรวมทั้งการควบคุมฟังก์ชันการทำงานบางอย่างของคอมพิวเตอร์ โดยปกติรูปทรงของคียบอร์ดมักจะเป็นลักษณะสี่เหลียมผืนผ้า หรือใกล้เคียง<br />แนะนำเว็บ (Web Guides)<br />- กิดานันท์ มลิทอง , รศ.ดร. </em></strong></span><a href="http://www.cybered.co.th/library/01.htm"><span style="font-size:130%;"><strong><em>http://www.cybered.co.th/library/01.htm</em></strong></span></a><br /><span style="font-size:130%;"><strong><em>- อุปกรณ์สวย </em></strong></span><a href="http://www.microsoft.com/hardware/default.mspx"><span style="font-size:130%;"><strong><em>http://www.microsoft.com/hardware/default.mspx</em></strong></span></a><br /><span style="font-size:130%;"><strong><em>- องค์ประกอบคอมพิวเตอร์ </em></strong></span><a href="http://project.cs.kku.ac.th/2545/project/g16/member/hardware.php"><span style="font-size:130%;"><strong><em>http://project.cs.kku.ac.th/2545/project/g16/member/hardware.php</em></strong></span></a><br /><span style="font-size:130%;"><strong><em>- บทเรียนเรื่อง ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ </em></strong></span><a href="http://www.cybered.co.th/warnuts/wbi/wbi2/web/menu1.htm"><span style="font-size:130%;"><strong><em>http://www.cybered.co.th/warnuts/wbi/wbi2/web/menu1.htm</em></strong></span></a><br /><span style="font-size:130%;"><strong><em>- ราคา </em></strong></span><a href="http://www.atshop.com/product_catalog.php?cat_id=28"><span style="font-size:130%;"><strong><em>http://www.atshop.com/product_catalog.php?cat_id=28</em></strong></span></a><br /><span style="font-size:130%;"><strong><em>- ความหมายแป้นพิมพ์ </em></strong></span><a href="http://www.school.net.th/library/create-web/10000/generality/10000-6246.html"><span style="font-size:130%;"><strong><em>http://www.school.net.th/library/create-web/10000/generality/10000-6246.html</em></strong></span></a><br /><span style="font-size:130%;"><strong><em>- คลังความรู้บนเว็บ </em></strong></span><a href="http://www.school.net.th/library/new/index.htm"><span style="font-size:130%;"><strong><em>http://www.school.net.th/library/new/index.htm</em></strong></span></a><br /><span style="font-size:130%;"><strong><em>- องค์ประกอบคอมพิวเตอร์ </em></strong></span><a href="http://yalor.yru.ac.th/~nipon/bnipon/contant9_2.htm"><span style="font-size:130%;"><strong><em>http://yalor.yru.ac.th/~nipon/bnipon/contant9_2.htm</em></strong></span></a><br /><span style="font-size:130%;"><strong><em>- ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ </em></strong></span><a href="http://courseware.kbu.ac.th/EL/basic_computer/chapter/1/lesson1-9.htm"><span style="font-size:130%;"><strong><em>http://courseware.kbu.ac.th/EL/basic_computer/chapter/1/lesson1-9.htm</em></strong></span></a><br /><span style="font-size:130%;"><strong><em>- สารานุกรมเสรี </em></strong></span><a href="http://th.wikipedia.org/wiki/"><span style="font-size:130%;"><strong><em>http://th.wikipedia.org/wiki/</em></strong></span></a><br /></div>จุฑามาศhttp://www.blogger.com/profile/04204990388448627660noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8824877249565288386.post-28521540223474159232009-09-15T21:11:00.002-07:002009-09-15T21:19:12.159-07:00สื่งประดิษฐ์<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj3QwQ9sPxnPoiLBpC6ndH7MILpFWIJuta3AZVk4aY0JWLasd0j3DHPy494SuE7uknyQYKSL2y5LEL8e-FgpDJQrob_w-0suD12Jv_cE45cYuPQZa1Zs1z1tYw7xc0YCVK9wMgondKpoz5W/s1600-h/1385_inventions_landing_1.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5381914932672328370" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 292px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj3QwQ9sPxnPoiLBpC6ndH7MILpFWIJuta3AZVk4aY0JWLasd0j3DHPy494SuE7uknyQYKSL2y5LEL8e-FgpDJQrob_w-0suD12Jv_cE45cYuPQZa1Zs1z1tYw7xc0YCVK9wMgondKpoz5W/s320/1385_inventions_landing_1.jpg" border="0" /></a><br /><div align="center"><span style="font-family:courier new;font-size:130%;">สิ่งประดิษฐ์เลิศสุดของปี วีรกร ตรีเศศ</span><br /></div><div align="center"><br />TIME’s Best Inventions of 2008The Best Inventions of the Year<br />นิตยสาร Time ฉบับ 10 พฤศจิกายน 2008 ได้รวบรวมสิ่งประดิษฐ์เลิศสุด 50 ชิ้นของปีไว้อย่างน่าสนใจ ขอนำบางสิ่งประดิษฐ์มาเล่าสู่กันฟัง<br />อันดับหนึ่งที่นิตยสารนี้ให้เป็นเลิศสุดคือสิ่งประดิษฐ์ชื่อ “23 and Me” ซึ่งเป็นชุดตรวจสอบ DNA จากน้ำลายในราคาชุดละ 399 เหรียญสหรัฐ เครื่องตรวจนี้จะให้ผลของการตรวจจาก 600,000 จุดของ DNA พร้อมกับการตีความ<br />มนุษย์ทุกคนมี DNA ในแต่ละเซลล์ยาว 1.3 เมตร บรรจุข้อมูล 3 พันล้านข้อมูล โดยทำหน้าที่เสมือนคอมพิวเตอร์สั่งให้ร่างกายแต่ละคนทำงาน สิ่งซึ่งประกอบกันเป็น DNA ก็คือ โครโมโซมโดยมียีนส์บนโครโมโซมเป็นตัวบอกบทให้ร่างกายทำงาน<br />อย่างไรก็ดีแต่ละคนมี DNA หรือยีนส์ที่แตกต่างกันออกไป บางคนมียีนส์บางตัวบกพร่อง จนทำให้มีโอกาสเกิดความเจ็บป่วยขึ้นในอนาคต หรือมีโอกาสที่อวัยวะบางส่วนไม่ทำงานเป็นปกติ<br />ปัจจุบันมนุษย์ทำแผนที่ DNA สำเร็จแล้ว กล่าวคือรู้มากพอควรว่ายีนส์ตัวใดบนโครโมโซมตัวใดที่เป็นตัวสั่งให้ระบบ หรืออวัยวะส่วนใดทำงาน ดังนั้นการตรวจยีนส์ที่อยู่ในตำแหน่งที่รู้ว่าเป็นคำสั่งให้ทำงานอะไร จึงช่วยให้รู้ว่าร่างกายจะมีโอกาสป่วยเป็นโรคอะไรหรืออวัยวะใดมีโอกาสทำงานบกพร่อง<br />เล่ามาถึงตรงนี้ หลายคนอาจบอกว่าไม่อยากรู้ แต่หลายคนก็อยากรู้เพื่อเตรียมตัวแก้ไขปัญหาหรือเตรียมรับมือกับมันได้ถูกต้อง และอาจบอกว่าเมื่อไม่อยากรู้ก็อย่าไปตรวจมันซิ จุดนี้แหละเป็นประเด็นอื้อฉาวของเครื่องมือนี้ นักวิจัยหลายคนเห็นว่า การตีความยังไม่ถูกต้องทั้งหมด การได้รับข้อมูลจากการตีความที่อยู่บนพื้นฐานของการตรวจ อาจทำให้เกิดความทุกข์โดยไม่จำเป็น และเป็นความทุกข์ที่ไม่เข้าท่า อีกทั้งเป็นข้อมูลส่วนตัวที่ไม่ควรให้ใครได้รู้วาตนเป็นอย่างไร และจะเป็นอะไรในอนาคต<br />ไม่ว่าจะวิจารณ์กันอย่างไร เครื่องมือนี้ก็ออกมาขายแล้วให้บุคคลซื้อหามาได้และเข้าถึงข้อมูล ซึ่งเมื่อก่อนนี้เฉพาะแวดวงนักวิจัยเท่านั้นที่เข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ ถ้าใครใจไม่ถึงอย่าไปตรวจเป็นอันขาด ถ้าอยากรู้ว่าทำไมทำให้เป็นทุกข์ได้กรุณาอ่านตัวอย่างต่อไปนี้<br />การตรวจ DNA หรือยีนส์จาก “23 and Me” นี้ จะให้ข้อมูลหลายลักษณะเช่น<br />(1) มีความเป็นไปได้สูงกว่า หรือต่ำกว่าโดยเฉลี่ยที่จะมีอายุถึง 100 ปี<br />(2) มีความเสี่ยงสูงหรือต่ำกว่าโดยเฉลี่ยที่จะเป็นโรคต้อหิน มะเร็งในลำคอ โรคเก๊าท์ ฯลฯ<br />(3) มีความเป็นไปได้ในระดับใดที่จะเป็นเบาหวานที่พัฒนาขึ้นตอนโต เป็นโรคเกี่ยวกับไต เป็นโรคจิตเภท เป็นมะเร็งในลำไส้ใหญ่ เป็นมะเร็งในช่องปาก หัวใจวายเฉียบพลัน เป็นโรครูมาตอยน์ อ้วนเกินสมควรก่อนอายุ 59 ฯลฯ<br />(4) ลูกมีโอกาสมากเพียงใดที่มีศีรษะล้าน เป็น Parkinson”s Disease (มือไม้สั่น) มีน้ำหนักต่ำกว่าเฉลี่ยเมื่อแรกเกิด ฯลฯ<br />(5) มีภูมิต้านทานมากน้อยเพียงใดต่อโรคมาเลเรีย/ ต่อ HIV/ การเสพติดสารเฮโรอีน/ การเป็นโรคซึมเศร้า ฯลฯ<br />นอกจากตัวอย่างข้างต้นนี้แล้ว การตรวจยังบอกความเป็นไปได้ในการเป็นโรคที่เกิดขึ้นยาก เช่น Crohn”s หรือ Lou Gehrig หรือ CJD (โรควัวบ้าในคน) หรือ Sjogren”s Syndrome ฯลฯ และบอกแม้กระทั่งว่าเป็นคนชอบกินหวานหรือไม่ เป็นคนประเภทขี้หูเปียกหรือแห้ง ถ้าบริโภคคาเฟอีนอาจเพิ่มโอกาสฮาร์ทแอ็ดแท็คที่ไม่ถึงกับตายได้ ถ้าร่างกายไม่แข็งแรงมีความเสี่ยงที่จะมีความดันโลหิตสูง ฯลฯ<br />พูดง่ายๆ ว่าอ่านแล้วรู้สึกอัศจรรย์ใจและรู้สึกกลัวที่จะตรวจเพราะไม่อยากรู้ความจริง ดังนั้นการวิพากษ์วิจารณ์ “23 and Me” ในเรื่องความแม่นยำและการตีความจึงมีน้ำหนักพอควร<br />สิ่งประดิษฐ์อีกชิ้นหนึ่งถึงแม้จะไม่อยู่ในอันดับสูงแต่ก็น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับ แฟนๆ หนังทีวีชุด CSI นั่นก็คือเทคนิคใหม่ในการหาลายนิ้วมือบนปลอกกระสุนปืนที่เช็ดจนสะอาดแล้วก็ตาม หลักการที่ John Bond นักฟิสิกส์ชาวอังกฤษใช้ก็คือเหงื่อทำให้โลหะเกิดสนิม ดังนั้น เขาจึงผ่านกระแสไฟฟ้า และผงคาร์บอนละเอียด ลงบนปลอกกระสุนปืนที่มีสนิมซึ่งมองไม่เห็นและปรากฏรอยนิ้วมือขึ้น ขณะนี้ตำรวจหลายแห่งกำลังใช้เทคโนโลยีอายุ 4 เดือนนี้รื้อฟื้นคดีเก่าๆ ซึ่งในขณะนั้นเทคโนโลยียังไปไม่ถึง<br />ชิ้นที่สามคือซีเมนต์ที่กิน Smog (Fog + Smoke หรือหมอกควัน) ถ้าเอาสาร Photo-Catalyzer (หรือ Titanium Dioxide) ผสมลงไปในซีเมนต์เหลวตามปกติมันจะช่วยเร่งกระบวนการตามธรรมชาติที่ย่อยสลาย Smog<br />ที่เมือง Segrate ใกล้เมือง Milan ในอิตาลี มีการใช้ซีเมนต์ที่กิน Smog นี้ซึ่งมีชื่อว่า TX Active (บริษัทในอิตาลีชื่อ Italcement เป็นผู้พัฒนาขึ้นโดยใช้เวลาถึง 10 ปี) สร้างถนนจอแจสายหนึ่ง บริษัทยืนยันว่ามันช่วยลด nitric oxides ในบริเวณนั้นลงถึงร้อยละ 60 และอาคารที่สร้างด้วย TX Active ก็สะอาดอย่างคงทนอีกด้วย<br />ชิ้นที่สี่คือเครื่องมือสร้างพลังงานไฟฟ้าจากการเดิน เมื่อใช้เครื่องมือหนัก 1.6 กิโลกรัมพันเหนือแต่ละเข่าขณะเดินออกกำลังกาย ทั้งสองเครื่องจะร่วมกันผลิตกระแสไฟฟ้าได้สูงถึงประมาณ 5 วัตต์ ซึ่งเพียงพอสำหรับโทรศัพท์มือถือ 10 เครื่องทีเดียว ไอเดียก็คือสามารถเอามาใช้เป็นพลังงานในการใช้ IPod หรือ PDA ได้อย่างสบาย<br />มนุษย์ปัจจุบันมีความรู้มากมายจนสามารถผลิตสิ่งประดิษฐ์มหัศจรรย์ได้ แต่กลับมีสามัญสำนึกและวิจารณญาณน้อยลง มียารักษาโรคเพิ่มขึ้นแต่ร่างกายแข็งแรงน้อยลง มีทรัพย์สมบัติมากขึ้นแต่มีเวลาหาความสุขจากมันน้อยลง และเห็นคุณค่าของมันน้อยลงด้วย เราเอาชนะข้างนอกได้แต่กลับแพ้ข้างใน </div>จุฑามาศhttp://www.blogger.com/profile/04204990388448627660noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8824877249565288386.post-9148500180095188732009-09-15T21:11:00.001-07:002009-09-15T21:11:24.708-07:00จุฑามาศhttp://www.blogger.com/profile/04204990388448627660noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8824877249565288386.post-27977270444182742992009-09-15T20:55:00.000-07:002009-09-15T21:10:43.851-07:00<div align="center"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjxG8FRmImAsraeZlLTWT2px-yvVQ3GIzP3SQeaKdOVsRfds5pPtc1Det3CqYCHI7nyTo546AJ21FpssQVXskxhgWqdT-g7AzViCkwaCk-PMYkBRY0eze6UV3FqwMJwmBAHNr81xmSLik7S/s1600-h/gg28.gif"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5381909624392676882" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 235px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjxG8FRmImAsraeZlLTWT2px-yvVQ3GIzP3SQeaKdOVsRfds5pPtc1Det3CqYCHI7nyTo546AJ21FpssQVXskxhgWqdT-g7AzViCkwaCk-PMYkBRY0eze6UV3FqwMJwmBAHNr81xmSLik7S/s320/gg28.gif" border="0" /></a><span style="font-size:130%;"><strong><em>องุ่นเป็นผลไม้ที่มีรสชาติดี ปลูกกันมากกว่า 5,000 ปี สามารถเจริญเติบโตได้ดีทั้งในเขตหนาว เขตกึ่งร้อนกึ่งหนาว และเขตร้อน สำหรับประเทศไทยไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่านำเข้ามาในสมัยใด แต่พอจะเชื่อได้ว่าในสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์ท่านได้นำพันธุ์ไม้แปลกๆ จากต่างประเทศที่ได้เสด็จประพาสมาปลูกในประเทศไทย และเชื่อว่าในจำนวนพันธุ์ไม้แปลกๆ เหล่านั้นน่าจะมีพันธุ์องุ่นรวมอยู่ด้วยในสมัยรัชกาลที่ 7 มีหลักฐานยืนยันว่าเริ่มมีการปลูกองุ่นกันบ้างแต่ผลองุ่นที่ได้มีรสเปรี้ยว การปลูกองุ่นจึงซบเซาไป ต่อมาในปี 2493 ได้เริ่มมีการปลูกองุ่นอย่างจริงจัง โดย หลวงสมานวนกิจ ได้นำพันธุ์มาจากแคลิฟอร์เนีย และปี 2497 ดร.พิศ ปัญญาลักษณ์ ได้นำพันธุ์มาจากยุโรปซึ่งปลูกได้ผลเป็นที่น่าพอใจ นับแต่นั้นมาการปลูกองุ่นในประเทศไทยจึงแพร่หลายมากขึ้น<br />ปัจจุบันในประเทศไทยมีการปลูกองุ่นในแถบภาคตะวันตก เช่น อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี อำเภอสามพราน อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งสามารถให้ผลผลิตได้ดี แต่เกษตรกรบางรายได้เปลี่ยนจากองุ่นเป็นพืชอื่น เนื่องจากมีโรคแมลงระบาดมาก และแมลงดื้อยาไม่สามารถกำจัดได้ ทำให้พื้นที่ปลูกองุ่นในแถบนี้ลดลง พื้นที่ปลูกองุ่นได้ขยายไปในแถบภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือบ้างเล็กน้อย ถึงแม้ว่าราคาจะเป็นแรงจูงใจ แต่ปัญหาเรื่องโรคแมลงระบาดมากทำให้พื้นที่ปลูกองุ่นไม่ค่อยขยายเท่าที่ควร</em></strong></span><br /><span style="font-size:180%;"><strong><em>สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม<br /></em></strong></span><span style="font-size:130%;"><strong><em>องุ่นถึงแม้จะไม่ใช่พืชเขตร้อน แต่จากสภาพภูมิอากาศร้อนชื้นอย่างประเทศไทย องุ่นสามารถเจริญเติบโตได้ดีจึงปลูกได้โดยทั่วไป ถ้าได้รับการตัดแต่งกิ่งก็สามารถออกดอกได้ดีเช่นเดียวกันกับองุ่นที่ปลูกในเขตหนาวสามารถให้ผลผลิตมากกว่า 1 ครั้งต่อปี และสามารถบังคับให้ผลองุ่นแก่ในฤดูใดของปีก็ได้ ในขณะที่องุ่นที่ปลูกในเขตหนาวให้ผลผลิตปีละครั้งและผลแก่ช่วงฤดูร้อนเท่านั้น แต่ควรระวังคือ ในสภาพดินฟ้าอากาศที่มีความชื้นสูงฝนตกชุกจะทำให้เกิดโรคระบาดอย่างรวดเร็วทำให้เสียหายแก่ใบ ต้น และผลองุ่นได้มาก จึงต้องเสียค่าใช้จ่ายในการป้องกันกำจัดโรคแมลงมากไม่คุ้มกับการลงทุน แต่ถ้าฝนตกในตอนผลแก่จะทำให้ผลแตก คุณภาพของผลไม่ดี ดังนั้นสภาพภูมิอากาศจึงเป็นตัวจำกัดเขตการปลูกองุ่น และลักษณะการใช้ประโยชน์ เช่น ในประเทศไทยสามารถปลูกองุ่นรับประทานผลสดได้ดี โดยเฉพาะองุ่นที่แก่ในฤดูร้อน และฤดูหนาว แต่การที่จะปลูกองุ่นสำหรับทำเหล้าองุ่นให้มีคุณภาพดีๆ ยังสู้องุ่นในแถบยุโรปไม่ได้ ซึ่งสภาพภูมิอากาศมีผลต่อคุณภาพของผลผลิตเป็นสำคัญ ส่งนการเจริฐเติบโตของต้นไม่มีปัญหามากนัก นอกจากเขตที่มีอากาศร้อนจัดหรือหนาวจัดเกินไปต้นองุ่นอาจตายได้ จะเห็นว่าเขตปลูกองุ่นของโลกนั้นกว้างมาก สามารถปลูกได้ในพื้นที่สูงตั้งแต่ระดับน้ำทะเลจนถึงระดับความสูง 6,000 ฟุต แต่แหล่งปลูกองุ่นที่มีคุณภาพดีมักอยู่ในระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,000 - 4,000 ฟุต<br /></em></strong></span><br /><br /></div>จุฑามาศhttp://www.blogger.com/profile/04204990388448627660noreply@blogger.com0